ยาเลิกเหล้า เบียร์มีแบบไหนบ้าง

เลิกเบียร์

3 สูตรยาที่ใช้ช่วยให้เลิกดื่มเหล้า

  1. ยาแผนปัจจุบัน ที่ชื่อว่า ไดซันฟิแลม(chronol, difiram, alcobuse) ยาตัวนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเพราะค่อนข้างอันตราย ถ้าหากกินยาตัวนี้แล้วไปกินเหล้า จะมีอาการบวมแดง ปวดหัว คลื่นไส้ หน้ามืด บางรายถึงกับเป็นลมถึงกับต้องหามเข้าโรงบาลเลยทีเดียว ลักษณะการออกฤทธิ์ ยาจะไปยับยั้งน้ำย่อย(เอนไซม์)ของตับไม่ให้กำจัดแอลกอฮอล์ พูดง่ายๆคือยาไม่ได้ไประงับอาการอยากเหล้า คนกินยาชนิดนี้ก็จะยังรู้สึกอยากกินเหล้าอยู่แต่กินไม่ได้ ซึ่งควรคิดทบทวนให้ดีว่าต้องการตั้งใจจะเลิกจริงๆหรือเปล่า ไม่งั้นท่านจะทรมานมาก วิธีรับประทาน ให้ทานวันละ 1 เม็ด หรือครึ่งเม็ด(ขนาด 500 กรัม) โดยต้องให้ร่างกายปราศจากแอลกอฮอล์ก่อนทานอย่างน้อย 2 วัน และผลข้างเคียงจะทำให้ง่วงซึมถ้าทานยาไม่ควรขับรถหรืออยู่กับเครื่องจักรอันตราย ที่สำคัญห้ามแอบเอาให้คนที่ไม่รู้ทานเด็ดขาดเพราะถ้าเค้าเผลอไปกินเหล้าอันตรายถึงชีวิตได้ครับ
  2. สูตรโบราณ ให้ท่านหารากมะยมตัวผู้ มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆจำนวน 10 ชิ้น(ชิ้นละ 2 ข้อมือ) จากนั้นให้เอาไปปิ้งไฟ และนำไปตากแดดไว้ 3 แดดเมื่อตากครบวันแล้วก็ให้นำไปดองกับเหล้าขาว โดยใส่เหล้าขาวให้พอท่วมตัวรากมะยมก็พอ..ดองทิ้งไว้สัก 3-5 วัน แล้วนำไปให้คนกินเหล้าดื่ม .ให้ดื่มตอนที่เมาๆได้ยิ่งดี(เมื่อกินเข้าไปสักครึ่งแก้ว จะมีอาการคลุ้มคลั่ง ดิ้นประสาทหลอนสักพัก ต้องหาคนมาช่วยจับ จากนั้นก็จะแล้วจะอาเจียนออกมา) หลังจากนั้นก็จะเริ่มกลับเข้าสู่อาการปกติ และจะไม่อยากกินเหล้าไปอีกเลย สูตรนี้คนโบร่ำโบราณเค้าใช้กันครับ
  3. ชาชงสมุนไพรช่วยให้เลิกดื่มเหล้า  ตัวนี้หลักๆจะออกฤทธิ์ที่ลิ้นที่คอ ต้องหมั่นจิบบ่อยๆจึงจะได้ผลดี สามารถช่วยลดอาการอยากสุรา เบียร์ ทำให้รู้สึกไม่ค่อยอยากกิน ถ้าไปกินก็จะกินได้น้อยลง หรือถ้าเผลอกินมากก็จะทำให้แฮงค์หนักกว่าปกติ(บางรายอาจปวดหัวทั้งวัน อ้วกทั้งวัน) สำหรับยาตัวนี้ถือเป็นยาสูตรอ่อนที่ไม่อันตรายแต่ถึงจะไม่อันตรายก็มีข้อระวัง ตรงที่ห้ามให้ผู้ที่กำลังเมาสุราดื่มนะครับ เพราะอาจมีอาการแน่นหน้าอกได้ สำหรับยาสูตรนี้เป็นที่นิยมใช้สำหรับคนที่ต้องการจะลดการดื่มลง หรือจะใช้เลิกเหล้าเลยก็ได้เพราะเป็นวิธีที่ไม่ทรมาน ยาจะออกฤทธิ์แบบค่อยๆลดอาการอยากสุรา เบียร์ลงเรื่อยๆ ส่วนยี่ห้อที่มีจำหน่ายในปัจจุบันก็จะเป็นของ “เป็นไทฟาร์ม” ราคาก็ไม่ถือว่าแพงครับ

ยาเลิกเหล้า


ที่มา http://www.jamrat.net/jamrathealth.aspx?blogid=506

Be the first to comment

Leave a Reply